แบล็คแจ็ค

1.การขอจั่วไพ่ และ การอยู่ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเล่น ไพ่แบล็คแจ็ค อย่างเช่นในกรณีที่เรามีแต้มรวมไม่ถึง 21 หรือ เกิน21แต้ม เราจะสามารถเรียกขอจั่วไพ่ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่า โอเค พอใจแล้ว หยุด ได้ทันที

2.การได้ Blackjack หรือ การที่ได้แต้ม 21 แต้ม เมื่อไพ่ในมือผู้เล่น 2 ใบแรกรวมกันแล้วได้ 21แต้ม คือเป็นการเรียกว่า แบล็คแจ็ค อัตราจ่ายเงินรางวัล หากชนะได้ 1.5เท่า ยกตัวอย่าง เมื่อเราได้วางเงินเดิมพันไป 1000บาท ได้1.5เท่า ก็ เท่ากับว่า ได้1500บาท ยังไม่รวมทุน รู้สึกว่าคล้ายไพ่ป็อกเด้งเลยใช่มั้ยครับ ได้21แต้มก็คือ เราจะชนะการเดิมพันในตานั้นทันที

3.การเดิมพัน แบบ 2 เท่า หรือ Double down ผู้เล่นนั้นจะสามารถลงวางเงินเดิมพันเพิ่มขึ้นได้อีก 1 เท่า จากตัวอย่างในภาพ ก็คือ ถ้าเราขอแยกไพ่แล้ว มือที่ 1 ก็จะได้ไพ่ K ลงวางเดิมพัน 1000 บาท เราก็ลงเพิ่มเดิมพันอีก 1เท่า เป็น 2000 บาท ได้ แต่เราจะมีสิทธิเรียกไพ่ได้อีกแค่ หนึ่งใบ เท่านั้น แต่ถ้าหากว่า แต้มเรามากกว่า เจ้ามือ อัตราการจ่างเงินอยู่ที่ 1 ต่อ 1

4.การแยกไพ่ หรือ Split เมื่อผู้เล่นได้ไพ่ 2ใบ และเป็นไพ่ที่เหมือนกัน ผู้เล่นจึงจะสามารถขอแยกไพ่ได้ ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องวางเดิมพัน เป็น 2 มือ ยกตัวอย่าง เมื่อเราได้ไพ่ K แล้ว ก็ K สามารถเล่นแยกไพ่ได้ กติกาคือ ต้องวางเดิมพันเท่าเดิม เท่ากับว่า มือที่1 ไพ่ K ลงเดิมพัน ไว้ 200บาท ไพ่ K อีกใบ เล่นเป็นมือที่สอง ต้องวาง200บาทเหมือนกัน หลักจากนั้น เจ้ามือก็จะแจกไพ่ต่อ แล้วหากว่าผู้เล่นที่แยกไพ่ ได้ไพ่ รวมแล้วได้ 21 แต้ม จะไม่ถือว่า ได้ Blackjack นะ แล้วหากว่าเจ้ามือได้ 21แต้ม ก็ถือว่าไม่เสมอ เราจะต้องมีแต้มมากกว่า เจ้ามือ ถึงจะชนะในเกมนี้ อัตราจ่าย 1 ต่อ 1

5.เดิมพันแบบไพ่ประกัน หรือ Insurance เมื่อเจ้ามือได้ทำการเปิดไพ่ใบแรก ได้เป็น A ผู้เล่นท่านอื่นๆ จะสามารถขอลงวางเงินประกันได้ และจะวางได้เพียงครึ่งเดียว จากเงินที่ได้วางเดิมพันไป คือ วางเดิมพันไป 500 บาท ก็ประกันเดิมพันได้ 250 บาท และเมื่อเจ้ามือได้ทำการเปิดไพ่ใบที่2 แล้วได้ 10 ซึ่งเท่ากับว่า เป็น แบล็คแจ็ค เราก็จะชนะในเกมนี้ และจะได้รับเงินรางวัลเดิมพัน จาก ค่า 2 เท่า คือเราวางเงินประกันไป 250 บาท จะได้ 500 บาท ยังไม่รวมทุน แต่ถ้าเจ้ามือไม่ออก แบล็คแจ็ค ในเกมนนี้ เราจะต้องเสียเงินประกันนี้ไป และเกมก็ต้องดำเนินต่อไป